ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน

คู่อันดับ (Order Pair) เป็นการจับคู่สิ่งของโดยถือลำดับเป็นสำคัญ เช่น คู่อันดับ a, b จะเขียนแทนด้วย (a, b) เรียก a ว่าเป็นสมาชิกตัวหน้า และเรียก b ว่าเป็นสมาชิกตัวหลัง

(การเท่ากับของคู่อันดับ) (a, b) = (c, d) ก็ต่อเมื่อ a = c และ b = d

ผลคูณคาร์ทีเชียน (Cartesian Product) ผลคูณคาร์ทีเซียนของเซต A และเซต B คือ เซตของคู่อันดับ (a, b) ทั้งหมด โดยที่ a เป็นสมาชิกของเซต A และ b เป็นสมาชิกของเซต B

สัญลักษณ์      ผลคูณคาร์ทีเซียนของเซต A และเซต B เขียนแทนด้วย A x B
หรือ เขียนในรูปเซตแบบบอกเงื่อนไขจะได้ว่า 

ความสัมพันธ์ (Relation)
r เป็นความสัมพันธ์จาก A ไป B ก็ต่อเมื่อ r เป็นสับเซตของ A x B

โดเมน (Domain) และ เรนจ์ (พิสัย) (Range)

  1. โดเมน (Domain) ของความสัมพันธ์ r คือ เซตที่มีสมาชิกตัวหน้าของทุกคู่อันดับในความสัมพันธ์ r ใช้สัญลักษณ์แทนด้วย Dr ดังนั้น  Dr = {x | (x, y) ε r}
  2.  เรนจ์ (Range) ของความสัมพันธ์ r คือ เซตที่มีสมาชิกตัวหลังของทุกคู่อันดับในความสัมพันธ์ r ใช้สัญลักษณ์แทนด้วย R rดังนั้น  Rr = {y | (x, y) ε r}

หลักเกณฑ์ในการพิจารณาหาโดเมนและเรนจ์ในความสัมพันธ์ r

ลักษณะของความสัมพันธ์

วิธีหาโดเมน

วิธีหาเรนจ์

เซตแบบแจกแจงสมาชิก

พิจารณาสมาชิกตัวหน้าของทุกคู่อันดับในความสัมพันธ์ r

พิจารณาสมาชิกตัวหลังของทุกคู่อันดับในความสัมพันธ์ r

เซตแบบบอกเงื่อนไข
  1. เปลี่ยนเป็นเซตแบบแจกแจงสมาชิกแล้วพิจารณาสมาชิกตัวหน้าของทุกคู่อันดับในความสัมพันธ์ r
  2. พิจารณารูปแบบของเงื่อนไขแล้วจัด y ให้อยู่ในรูป x แล้วหาค่า x ที่ทำให้ y เป็นจริงตามเงื่อนไข
  3. เปลี่ยนเป็นเซตแบบแจกแจงสมาชิกแล้วพิจารณาสมาชิกตัวหลังของทุกคู่อันดับในความสัมพันธ์ r
  4. พิจารณารูปแบบของเงื่อนไขแล้วจัด x ให้อยู่ในรูป y แล้วหาค่า y ที่ทำให้ x เป็นจริงตามเงื่อนไข
กราฟ

พิจารณาค่าของ x ทั้งหมดบนแกน X ที่ใช้ในการเขียนกราฟ

พิจารณาค่าของ y ทั้งหมดบนแกน Y ที่ใช้ในการเขียนกราฟ

ตัวผกผันของความสัมพันธ์ (Inverse of Relation) อินเวอร์สของความสัมพันธ์ r คือ ความสัมพันธ์ซึ่งเกิดจากการสลับที่ของสมาชิกตัวหน้าและสมาชิกตัวหลังในแต่ละคู่อันดับที่เป็นสมาชิกของ r

สัญลักษณ์         อินเวอร์สของความสัมพันธ์ r เขียนแทนด้วย r-1
เขียน r-1 ในรูปเซตแบบบอกเงื่อนไขได้ดังนี้  r-1 = {(x, y) | (y, x) ε r}
ถ้า r เป็นความสัมพันธ์จาก A ไป B แล้ว r-1 จะเป็นความสัมพันธ์จาก B ไป A

ฟังก์ชันขั้นบันได

ฟังก์ชัน (Function)  คือ  ความสัมพันธ์  ซึ่งในสองคู่อันดับใด ๆ ของความสัมพันธ์นั้น  ถ้ามีสมาชิกตัวหน้าเท่ากันแล้ว  สมาชิกตัวหลังต้องไม่แตกต่างกัน
หรือ
ฟังก์ชัน  คือ  ความสัมพันธ์  ซึ่งในสองคู่อันดับใด ๆ ของความสัมพันธ์นั้น  ถ้าสมาชิกตัวหน้าเท่ากัน  สมาชิกตัวหลังต้องเท่ากันด้วย

นั่นคือ   ความสัมพันธ์ f จะเป็นฟังก์ชัน ก็ต่อเมื่อ ถ้า (x, y1) ε f และ (x, y2) ε f แล้ว  y1 = y2

ถ้าหากว่าความสัมพันธ์ที่กำหนดให้อยู่ในรูปแบบบอกเงื่อนไข  การตรวจสอบว่าความสัมพันธ์นั้นเป็นฟังก์ชันหรือไม่สามารถทำได้กลายวิธี  ดังต่อไปนี้

วิธีที่  1      ถ้า  r  เป็นความสัมพันธ์ซึ่งประกอบด้วยคู่อันดับ  (x, y)  และมีเงื่อนไข  r(x, y)  แล้ว  ให้นำเงื่อนไข  r(x, y)  มาเขียนใหม่โดยเขียน y ในรูปของ x และพิจารณาดังนี้
1)  ถ้าแต่ละค่าของ x หาค่า y ได้เพียงค่าเดียว  สรุปว่า r เป็นฟังก์ชัน
2)  ถ้ามีบางค่าของ x ที่ทำให้หาค่า y ได้มากกว่าหนึ่งค่า  สรุปว่า r ไม่เป็นฟังก์ชัน

วิธีที่  2      เมื่อกำหนดความสัมพันธ์ r ซึ่งประกอบด้วยคู่อันดับ (x, y) และมีเงื่อนไข  r(x, y)
สมมติให้ (x, y) ε r และ (x, z) ε r  ดังนั้นจะได้เงื่อนไข  r(x, y)  และ  r(x, z) พิจารณา
1)  ถ้าสามารถแสดงได้ว่า  y = z จะได้ว่า r เป็นฟังก์ชัน
2)  ถ้ากรณีที่มี  y ε z  จะได้ว่า  r  ไม่เป็นฟังก์ชัน

วิธีที่  3       โดยใช้กราฟ
กำหนดกราฟความสัมพันธ์ r ให้ลากเส้นตรงที่ขนานกับแกน Y และให้ตัดกราฟของความสัมพันธ์ r พิจารณา
1)  ถ้าเส้นตรงแต่ละเส้นตัดกราฟของ r ได้เพียงจุดเดียวเท่านั้น จะได้ว่า r เป็นฟังก์ชัน
2)  ถ้ามีเส้นตรงบางเส้นตัดกราฟของ r มากกว่าหนึ่งจุด  จะได้ว่า r จะไม่เป็นฟังก์ชัน

กำหนดให้ f เป็นฟังก์ชัน เรามีข้อตกลงเกี่ยวกับการเขียนสัญลักษณ์ ดังนี้

(x, y) ε R  จะเขียนแทนด้วย y = f(x)

เรียก f(x) ว่าค่าของฟังก์ชัน f  ที่ x หรือเรียกว่าภาพฉาย (image) ของ x ภายใต้ฟังก์ชัน f

อ่าน f(x) ว่า เอฟของเอ็กซ์ หรือ เอฟที่เอ็กซ์ หรือเรียกสั้นๆ ว่า เอฟเอ็กซ์

เราจะพบการใช้สัญลักษณ์เกี่ยวกับฟังก์ชันอยู่ 2 ลักษณะที่สำคัญคือ การเขียน f และ f(x) ซึ่งมีความแตกต่างและการนำไปใช้ดังนี้

1)      การเขียน f จะเป็นการกำหนดชื่อฟังก์ชัน (คล้ายการกำหนดชื่อเซต) เช่น กำหนดให้ f เป็นฟังก์ชัน เป็นต้น การเขียน f จะเขียนในรูปเซตแบบแจกแจงสมาชิก หรือว่าเซตแบบบอกเงื่อนไขก็ได้ เช่น          f = {(2, 5), (3, 7), (4, 9)}           หรือ     f = {(x, y) | y = 2x + 1}          เป็นต้น

2)      การเขียน f(x) จะเป็นการนิยามฟังก์ชัน f ว่ามีเงื่อนไข หรือลักษณะอย่างไร กำหนดให้เป็นอย่างไร มักเขียนในรูปนิพจน์ทางคณิตศาสตร์ (ประโยคสัญลักษณ์) แสดงความสัมพันธ์ตั้งแต่ 2 ตัวแปรขึ้นไป และมักเขียนในรูปสมการ เช่น f(x) = 2x + 1 หรือบางครั้งอาจเขียน y = 2x + 1 ให้เข้ใจว่า การนิยามฟังก์ชัน f จะเขียนให้อยู่ในรูป y = f(x)

ดังนั้น นักรเยนจะพบเสมอว่า ในโจทย์ปัญหาเกี่ยวกับฟังก์ชันโดยทั่วไป มักจะขึ้นต้นในทำนองว่า “กำหนดให้ f เป็นฟังก์ชันซึ่งนิยามว่า f(x) = …”  เป็นต้น

ดังนี้แล้ว พึงระลึกถึงและนำไปใช้ให้ถูกต้องด้วยความเคร่งครัดและระมัดระวัง

พีชคณิตของฟังก์ชัน หรือ การดำเนินการของฟังก์ชัน (Algebric Function or Operation of Function)

ฟังก์ชันประกอบ หรือ ฟังก์ชันคอมโพสิต (Composite Function)

ตัวผกผันของฟังก์ชัน หรือ ฟังก์ชันอินเวอร์ส (Inverse of Function)

ฟังก์ชันจากเซตหนึ่งไปยังอีกเซตหนึ่ง

กำหนดให้ A และ B เป็นเซต
f จะเป็นฟังก์ชันจาก A ไป B (function from A to B) ก็ต่อเมื่อ
1)    f เป็นฟังก์ชัน
2)    Df = A
3)    Rf  ε B

สัญลักษณ์      f  เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B จะเขียนแทนด้วย f : A → B  อ่านว่า f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B

ฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B

f จะเป็นฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B (function from A onto B) ก็เต่อเมื่อ
1)    f เป็นฟังก์ชัน
2)    Df = A
3)    Rf = B

สัญลักษณ์   f เป็นฟังก์ชันจาก A ไป B จะเขียนแทนด้วย f : AB  หรือ
f
: AB อ่านว่า f เป็นฟังก์ชันจาก A ไปทั่วถึง B

ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไป B

ฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่งจาก A ไปทั่วถึง B

ฟังก์ชันเชิงเส้น (Linear Funtion)

ฟังก์ชันพหุนาม (Polynomial Function)

ฟังก์ชันขั้นบันได (Step Function)

ฟังก์ชันเอกซโพเนนเชียล (Exponential Function)

ฟังก์ชันลอการิทึม (Logarithm Function)

ฟังก์ชันตรีโกณมิติ (Trigonometry Function)

ฟังก์ชันค่าสัมบูรณ์ (Absolute Value Function)

Advertisement

105 thoughts on “ความสัมพันธ์และฟังก์ชัน

  1. ณัฐ พูดว่า:

    ให้ A={1,2,3,4} B={a,b,c,d,e,f,g,h} จำนวนสมาชิกของเซต { f : A–>B | f ไม่เป็นฟังก์ชันหนึ่งต่อหนึ่ง } เท่ากับเท่าใด

    ขอบคุณครับ

  2. รุท พูดว่า:

    เรียนคุณครูครับ
    อาจารย์เขาให้คำถามมา ทำไม่ได้ครับ ข่วยอธิบายให้ด้วยครับ ดังนี้ครับ
    คำถาม : จุดต่ำสุดของฟังก์ชั่น y = f(x) ควรมีคุณสมบัติใด

    ขอบคุณครับ

  3. hanan sama-ae พูดว่า:

    คือ อาจารย์ให้ทำรายงานเรื่องความสัมพันธ์และฟังก์ชันอย่างละเอียดน่ะค่ะ แต่ไม่รู้ว่าจะหาที่ไหนเพราะแต่ล่ะเว็บเขาย่อมานิดเดียวน่ะค่ะ

  4. noon พูดว่า:

    คุณครูคะ อาจารย์ให้หาโจทย์ยากๆเรื่องกราฟของความสัมพันธ์ค่ะ ให้ทำเป็นใบงานแต่หนูหาโจทย์ไม่ได้ค่ะงง อาจารย์เขาให้วาดกราฟแล้วปิดโจทย์กับเฉลยเอาไว้ค่ะ ช่วยหาโจทย์ให้หนูที

    • ครูอั๋น พูดว่า:

      อันนี้ไม่รู้จะช่วยยังไงดี…มันเป็นเรื่องที่ยากมาก ยิ่งถ้าเรื่องจำนวนจริงไม่เข้าใจก็หนักเข้าใหญ่ มีไรถามได้ครับ จะช่วยตอบ

    • ครูอั๋น พูดว่า:

      สำคัญหลายจุดอยู่นะครับ โดยเฉพาะการตรวจสอบโดเมนกับเรนจ์ที่ต้องดึงความรู้จากจำนวนจริงมาใช้ ฟังก์ชันประกอบ และฟังก์ชันอินเวอร์สครับ

      • Tone พูดว่า:

        ผลคูณคาร์ทีเชียน เรียนแล้วนำไปใช้อะไรในชีวิตประจำวันได้ครับ สงสัยมากๆ
        อาชีพอะไรที่เอาผลคูณคาร์ทีเชียนมาใช้ในอาชีพนั้นครับคืออาชีพอะไรนอกจากครู

        • ครูอั๋น พูดว่า:

          คำถามนี้บางทีผมก็ตอบไม่ได้ เพราะผมก็รู้จักการประยุกต์ใช้เพียงบางเรื่องครับ ผลคูณคาร์ทีเชียนพูดถึงการจับคู่ ถ้าผมพูดว่าอาชีพที่ต้องจับคู่ของต่างๆ เข้าด้วยกันก็น่าจะได้ใช้ทั้งนั้นครับ 555

  5. Monne พูดว่า:

    อยู่ต่างประเทศค่ะตอนนี้ ที่ รร สอนเป็นภาษาฟิน งงมาก หาเรียนตามวิดีโอ กลัวตามเขาไม่ทัน อ่านบลอำครูแล้วหวังว่าคงช่วยอะไรได้บ้างค่ะ ขอบคุณค่ะ

  6. mike พูดว่า:

    สวัสดีครับ ผมมีเรื่องจะถามเกี่ยว relation ของผลคูณคาร์ติเซียน product ทั้งสามแบบ คือ reflexive symmetric และ transitive มีtrick ในการมองยังไงให้ง่ายที่สุด ครับ หรือมีวิธีการดูจาก matrix หรือ กราฟก็ได้ ที่ง่ายที่สุดและ เร็วที่สุด ที่ไม่จำเป็นต้องมองในเซตอย่างเดียว เพราะผมอยากได้ trick สั้นๆในการมองเพื่อจัดการกับข้อสอบในเวลาอันสั้นได้

  7. แซ็ก พูดว่า:

    คุณครูครับ คือว่า วันนี้ผมเรียนเรื่องฟังก์ชัน อาจารให้ทำรายงาน เรื่องฟังก์ชัน เขาให้ทำว่าฟังก์ชันเรียนแล้วนำไปใช้ในชีวิตรประจำวันไรได้บ้าง เรียนฟังก์ชันเพื่อน อะไรประมาณนี้อ่า คือผมควรทำยังไงดีครับ ครู ^ ^

    • ครูอั๋น พูดว่า:

      ถามว่ามันเอาไปใช้ทำอะไรในชีวิตประจำวันได้บ้าง คงตอบยากมาก เพราะเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เอาไปใช้เลย…ใช่ไหมครับ???

      แต่ในงานบางงานที่ต้องสร้างแบบจำลองทางคณิตศาสตร์เพื่อใช้ตอบคำถามบางเรื่อง จำเป็นต้องสร้างฟังก์ชันขึ้นมาเพื่อดูว่าแนวโน้มเป็นอย่างไร ลองดูในหนังสือของอาจารย์กมล เอกไทยเจริญน่ะครับ ท่านเขียนการประยุกต์ของฟังก์ชันไว้หลายตัวอย่างพอสมควรครับ

      หรือการประยุกต์ใช้เกี่ยวกับค่าสูงสุดหรือต่ำสุด (พาราโบลา) ก็น่าจะพอได้นะครับผม

ปลื้มใจที่แวะเข้ามา ฝากข้อความสักหน่อยก็ไม่ว่าอะไรนะครับ ขอบคุณครับผม ^___^

Fill in your details below or click an icon to log in:

WordPress.com Logo

You are commenting using your WordPress.com account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Facebook photo

You are commenting using your Facebook account. Log Out /  เปลี่ยนแปลง )

Connecting to %s