
ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มาต์ (Fermat’s Last Theorem)
นฤพนธ์ สายเสมา รวบรวมและเรียบเรียง

ปีแยร์ เดอ แฟร์มาต์
เมื่อประมาณกลางสมัยกรุงศรีอยุธยา หรือประมาณ พ.ศ. 2180 มีนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง ซึ่งมีความรู้ทั้งทางด้านกฎหมาย บทกวี วรรณคดี ตามแบบฉบับของนักปราชญ์ของยุโรปในสมัยนั้น ชื่อ ปีแอร์ เดอ แฟร์มาต์ (Pierre de Fermat) ได้เสนอทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ซึ่งนักคณิตศาสตร์ในรุ่นหลังๆ ให้ชื่อว่า “ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มาต์” (Fermat’s Last Theorem) แฟร์มาต์เสนอทฤษฎีบทคล้ายกับการเสนอทฤษฎีทางเรขาคณิต กล่าวคือ เมื่อเสนอแล้วก็ต้องมีการพิสูจน์ว่าข้อเสนอนั้นถูกต้อง แต่ไม่มีใครสามารถพิสูจน์ทฤษฎีบทนี้ได้เป็นเวลากว่า 3 ทศวรรษครึ่ง แม้แต่แฟร์มาต์เองก็ไม่สามารถแสดงบทพิสูจน์ไว้ แฟร์มาต์เขียนไว้ในที่ว่างของกระดาษของหนังสือที่เสนอเรื่องนี้ว่า “ข้าพเจ้าได้พบบทพิสูจน์ที่นับว่ามหัศจรรย์ยิ่ง แต่ไม่สามารถจะเขียนบทพิสูจน์นี้ลงไปในที่ว่างเล็กๆ นี้ได้” แต่ว่าข้อเท็จจริงก็คือ แฟร์มาต์ยังมีชีวิตยืนยาวอยู่จากวันนั้นถึง 28 ปี แต่หาได้แจงบทพิสูจน์นี้ออกมาไม่ นักคณิตศาสตร์รุ่นต่อๆ มาจึงพากันเชื่อว่าแฟร์มาต์ไม่ได้พบบทพิสูจน์ดังที่อ้างอิงแต่อย่างใด
ทฤษฎีบทของแฟร์มาต์ดูเป็นของพื้นๆ แต่การพิสูจน์นั้นไม่พื้นๆ อย่างตัวทฤษฎีเลย เราทราบกันดีว่า สมการ นี้เป็นไปได้ (ก็ทฤษฎีบทปีทาโกรัสนั่นแหละครับ) เพราะสามารถหาจำนวนเต็มที่เป็นบวกอย่างน้อย 1 ชุด เมื่อแทนค่า x, y และ z แล้ว จะสอดคล้องกับสมการนี้ได้ ในกรณีนี้ คือ 3, 4 และ 5 ชุดหนึ่ง เพราะว่า 32 + 42 = 52 ชุดต่อไปคือ 5, 12 และ 13 เพราะว่า 52 + 122 = 132 และอื่นๆ
ต่อไปนี่จะกล่าวถึงทฤษฎีบทของแฟร์มาต์ (ชื่อว่าบทสุดท้าย แต่จริงๆ ไม่ใช่สุดท้ายในชีวิต แต่เป็นสุดท้ายของหนังสือ)

ตราไปรษณียากรทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มาต์
ทฤษฎีบท (ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มาต์)
เมื่อ n เป็นจำนวนเต็มที่มากกว่า 2 สมการ xn + yn = zn
จะไม่มีจำนวนเต็มบวก x, y และz ที่จะทำให้สมการนี้เป็นจริง
บทพิสูจน์ได้กลายเป็นจุดท้าทายของนักคณิตศาสตร์ทั่วโลกในช่วง 350 ปีที่ผ่านมา มีนักคณิตศาสตร์มือดีหลายต่อหลายคนได้พยายามพิสูจน์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ (เหมือนสัจพจน์ข้อที่ 5 ของยุคลิดเลย) แต่ความพยายามของนักคณิตศาสตร์เหล่านั้นบางท่านได้ผลพลอยได้อยู่ที่ได้เปิดแขนงของคณิตศาสตร์ใหม่ๆ ขึ้นมา (นี่ก็เหมือน)
เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2531 ได้มีนักคณิตศาสตร์ชาวญี่ปุ่นคนหนึ่ง ชื่อ โยอิชิ มิยาโอกะ ซึ่งทำท่าว่าจะสร้างบทพิสูจน์ขึ้นมาได้ ในบทพิสูจน์ของโยอิชินี้ดูเหมือนจะชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มาต์กับเรขาคณิตแกนโค้ง (คืออะไรหว่า) แต่ปรากฏว่าบทพิสูจน์ของโยอิชิก็ต้องล้มเหลว เหมือนกับบทพิสูจน์ของนักคณิตศาสตร์คนอื่นๆ ก่อนหน้านั้น

แอนดรูว์ เจ. ไวลส์
ในที่สุดความพยายามตลอด 350 ปี ของนักคณิตศาสตร์ทั่วโลกก็เป็นผล เป็นเรื่องฮือฮาอย่างสุดยอดในวงการคณิตศาสตร์ เมื่อมีนักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษชื่อ แอนดรูว์ จอห์น ไวลส์ (Andrew John Wiles) ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (PrincetonUniversity) สหรัฐอเมริกา (ที่เดียวกับจอห์น แนช เลย) ได้ไปแสดงปาฐกถาที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ (CambridgeUniversity) เมื่อราวๆ ปลายเดือนมิถุนายน 2536 และประกาศว่าได้ค้นพบบทพิสูจน์ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มาต์แล้ว พร้อมทั้งเสนอข้อพิสูจน์อย่างย่อๆ
บทพิสูจน์สมการฉบับสมบูรณ์ของไวลส์นั้นยาวถึง 200 หน้า บทพิสูจน์ส่วนหนึ่งเป็นคำตอบของปริศนาคณิตศาสตร์ที่เรียกว่า “ข้อคาดเดาของตานิยามา-ชิมุระ” (Shimura-Taniyama-Weil Conjecture) ซึ่งพูดถึงเรื่องเส้นโค้งของวงรี อันที่จริงนักคณิตศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเบอร์กลีย์คนหนึ่งชื่อ รีเบท (Ribet) ได้เคยบอกใบ้ไว้ว่าคำตอบของปริศนานี้น่าจะเป็นแนวทางสำหรับทำการบทพิสูจน์ของทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มาต์ และไวลส์ก็ได้ทำตามนั้น แต่นักคณิตศาสตร์ระดับชั้นนำของโลกก็ยอมรับว่าบทพิสูจน์ของไวลส์มีแนวทางที่เป็นการสร้างสรรค์ที่มหัศจรรย์ กล่าวคือ นำสิ่งที่ซับซ้อนมากมายหลายชั้นเข้ามาประสานกันเป็นบทพิสูจน์ที่สวยงามได้สำเร็จ
ปัญหาที่เราต้องถามกันอีกข้อหนึ่ง คือ เป็นไปได้หรือไม่ที่บทพิสูจน์ของไวลส์อาจจะผิดและต้องแทงเข้าบัญชีความล้มเหลวอย่างที่แล้วๆ มา คำตอบคือมีทางที่ไวลส์จะผิดได้แต่ค่อนข้างยาก ผู้เชี่ยวชายหรือนักคณิตศาสตร์ที่สามารพที่จะยืนยันหรือตรวจสอบบทพิสูจน์ของไวลส์ดูว่าถูกหรือไม่นั้นมีจำนวนไม่มากนัก คือ ประมาณ 200 ถึง 300 คน เท่านั้น และมีนักคณิตศาสตร์เพียง 10 คน เท่านั้นที่สามารถอ่านบทพิสูจน์ของเขาอย่างเข้าใจแจ่มแจ้ง หลังจากการตรวจก็พบว่ามีจุดที่ผิดอยู่เล็กน้อยและได้แก้ไขอยู่ 14 เดือน จนกระทั่งถูกต้องและคำยืนยันก็ออกมาแล้วว่าถูกต้องใช้ได้ และมีการตีพิมพ์ออกมาอย่างเป็นทางการในวารสาร Journal of Mathematics ฉบับเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ. 2538
และปัญหาอีกข้อที่ว่า บทพิสูจน์ของไวลส์จะทำให้วงการคณิตศาสตร์ซบเซาเพราะไม่มีอะไรจะให้คิดกันอีกแล้วหรือไม่นั้น คำตอบก็คือ การแก้ปัญหาใดๆ ในโลกไม่ว่าจะเป็นการทำบทพิสูจน์ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มาต์หรือการแก้ปัญหาพื้นๆ อื่นๆ ก็ตาม มักจะทำให้เกิดหรือเห็นปัญหาอื่นๆ กว้างขวางขึ้นไปอีก สำหรับบทพิสูจน์ของไวลส์นั้น จะทำให้เกิดปริศนาคณิตศาสตร์อื่นๆ อีก ซึ่งจะช่วยให้นักคณิตศาสตร์มีงานทำในแนวนี้อีกอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 350 ปีเลยทีเดียว
เอกสารอ้างอิง
เฉลียว มณีเลิศ. (2536, กรกฎาคม – ธันวาคม). “อวสานทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มาต์,” สสวท. 21(83) : 42 – 43.
ณรงค์ ปั้นนิ่ม. (2531). ทฤษฎีจำนวน = Theory of Number. กรุงเทพฯ : ภาควิชาคณิตศาสตร์คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร.
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางเขน. ภาควิชาคณิตศาสตร์. (2530). ประวัตินักคณิตศาสตร์. กรุงเทพฯ : สมาคมคณิตศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์.
Bruno, Leonard C. (1999). Math and Mathematicians : the History of Math Discoveries Around the World. Detroit : U – X – L.
O’Connor, J. J. and Robertson, E. F. (1996). Fermat’s last theorem. (Online). Available: URL http://www-history.mcs.st-andrews.ac.uk/history/HistTopics/
Fermat’s_last_theorem.html
Solving Fermat: Andrew Wiles. (2000, November). (Online). Available: URL http://www.pbs.org/wgbh/nova/proof/wiles.html
ผมว่ารามานุจันน่าจะพิสูจน์ได้นะ
^^
จำนวนพาทิชั่นของเลข100พี่แกยังหาผลรวมได้เลยตั้ง190,569,292วิธี
ว่าแต่ตอนนี้ครูอั๋นทำวิจัยคณิตศาสตร์อยู่ไหมงับบอกกันหน่อยน๊าา ^^
ปล.คืออยากให้คนไทยเสนอทฤษฎีเกี่ยวกับคณิตศาสตร์บนเวทีโลกบ้างอ่านะครับ
ไม่สามารถขนาดนั้นครับ ผมทำแต่วิจัยทางคณิตศาสตรศึกษาครับ
ผมได้ค้นพบว่าเมื่อ 2 ยกกำลังn + 2ยกกำลังn =
2ยกกำลังn+1 เช่น 2ยก3+2ยก3=2ยก4
และ 4ยกกำลังn+4ยกกำลังn= 2ยกกำลัง2n+1 เช่น 4ยก3+4ยก3=2ยก7
ครับผม สวยงามครับ
ถ้าเป็นทศนิยมได้ไหมครับ
ตามทฤษฎีบทไม่ได้ครับ แต่ทศนิยมคงมีบางตัวที่จริง
ถ้าไม่เป็นจำนวนเต็ม+ จะเป็นทศนิยมได้ไหมครับ
ยกตัวอย่างบทพิสูจ ที่ทำให้ แฟร์มาต์ เป็นจริง ให้ดุซักหน่อยซิครับ
มันไม่มีไงครับ ยกตัวอย่างยังไงสมการก็เป็นเท็จครับ
เค้าบอกว่า n เป็นจำนวนเต็มที่มากกว่า2เเล้วทฤษฎีบทพีทาโกรัสมันตรงกันหรอครับ(ตามที่พิมข้างต้น)
อะไรยังไงครับ??? ผมไม่เข้าใจประเด็นที่คุณ tham ต้องการสื่อ
ดังนั้นของอธิบายว่า (อาจจะไม่ตรงกับสิ่งที่คุณ tham อยากถามนะครับ)
ทฤษฎีบทของปีทาโกรัส กับทฤษฎีบทสุดท้ายฯ มันก็ต้องไม่ตรงกันแน่นอนครับ เพราะว่า ทฤษฎีบทของปีทาโกรัสนั้นหา x, y, z แทนแล้วทำให้สมการเป็นจริงได้ แต่ทฤษฎีบทสุดท้ายฯ นั้น หา x, y, z มาแทนตามเงื่อนไขแล้วไม่สามารถทำให้สมการเป็นจริงได้
นั่นก็คือ สมการ
จะไม่มีจำนวนเต็มบวก x, y, z ใดเป็นคำตอบของสมการ เมื่อ n > 2
หมายความว่า ถ้า n = 2 [ซึ่งก็คือทฤษฏีบทของปีทาโกรัส] จะมีจำนวนเต็มบวก x, y, z ที่เป็นคำตอบของสมการครับ
ไม่ทราบว่าตรงกับสิ่งที่คุณ tham สงสัยหรือไม่ครับ
ขอบคุณที่ให้ความสนใจและร่วมกันอภิปรายเพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ครับ
อันนี้ครับ
http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=kruaun&date=03-04-2010&group=2&gblog=11
บังเอิญว่าผมให้เด็กเขียนงานเรื่อง “ทฤษฎีบทสุดท้ายของแฟร์มา” ส่ง มีหลายคนเอาข้อมูลมาจาก blog ข้างบนมาครับ คงได้จากการค้นด้วย google แล้วมันขึ้นมาเป็น entry แรก ๆ
ขอบคุณมากๆ ครับ บล็อกนี้ผมทิ้งไปนานแล้ว สงสัย copy มาวางแล้วไม่ได้อ่านทวน ผมผิดเองครับ ขอบคุณมากๆ ครับ
ขออนุญาตช่วยแก้ไขข้อมูลเล็กน้อยนะครับ
– บทพิสูจน์ของ Wiles ตีพิมพ์ในวารสาร Annals of Mathematics มีความยาวประมาณ 100 กว่าหน้าครับ (http://math.stanford.edu/~lekheng/flt/wiles.pdf)
– ในอีก blog หนึ่งของครูอั๋น บอกไว้ว่า Wiles ได้ Fields Medal แต่ที่จริงแล้วได้ Silver Plate ซึ่งเป็นรางวัลพิเศษจาก IMU (International Mathematical Union) ครับ
(http://www.mathunion.org/general/prizes/fields/prizewinners/
http://en.wikipedia.org/wiki/Fields_Medal)
ขอบคุณครับ 🙂
ขอบคุณครับ เห็นบทพิสูจน์แล้วครับ แต่ว่า “สองร้อยหน้า” ผมเอามาจากต้นฉบับที่ท่านอื่นเขียนไว้ก่อนที่จะเห็นบทพิสูจน์ และก็ทราบว่าไวลส์ไม่ได้รับ Fields Medal บล็อกไหนหรือครับที่บอกว่าได้ จะได้ตรวจสอบว่ามีตรงไหนผิดอีก ขอบคุณมากๆ ครับผม
ครูอั้นครับผมได้พบว่าเมื่อ 2 ยกกำลังn + 2ยกกำลังn =
2ยกกำลังn+1 เช่น 2ยก3+2ยก3=2ยก4
และ 4ยกกำลังn+4ยกกำลังn= 2ยกกำลัง2n+1 เช่น 4ยก3+4ยก3=2ยก7 ถูกมั้ยคับ