สถิติคืออะไร
สถิติเป็นศาสตร์ที่ใช้เป็นเครื่องมือช่วยในการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล การแก้ปัญหาส่วนใหญ่มีความจำเป็นที่ต้องใช้ข้อมูล สารสนเทศ และกระบวนการทางสถิติมาช่วยในการสรุปผล ในที่นี้จะนำเสนอตัวอย่างปัญหา หรือกรณีที่เกี่ยวข้องกับการใช้สถิติในชีวิตประจำวันดังตัวอย่างต่อไปน้
1.1 ตัวอย่างของกรณีหรือปัญหาที่ต้องใช้สถิติ
ปัญหาต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันหรือการทำงานมีหลายปัญหาที่จำเป็นต้องใช้สถิติมาช่วยในการหาข้อสรุปหรือช่วยในการตัดสินใจ เช่น ในกรณีต่อไปนี้
1. โอกาสที่จะมีฝนตกในวันหนึ่ง ๆ
ในการเดินทางไม่ว่าจะใกล้หรือไกล สิ่งที่ผู้เดินทางต้องการทราบคือสภาพดินฟ้าอากาศเพื่อที่จะได้สามารถเตรียมเสื้อผ้าหรืออุปกรณ์อื่นที่จำเป็นให้เหมาะสม ในกรณีที่ไม่ได้เดินทางไกล การทราบเกี่ยวกับสภาพอากาศในท้องถิ่นก็เป็นสิ่งที่ดี โดยเฉพาะกรณีของฝน เนื่องจากหากฝนตกอาจมีปัญหาน้ำท่วมหรือจราจรติดขัด การพยากรณ์เกี่ยวกับฝนตกของกรมอุตุนิยมวิทยาต้องอาศัยความน่าจะเป็นของการมีฝนตกภายใต้สภาพต่าง ๆ ซึ่งต้องอาศัยข้อมูลทั้งในอดีตและปัจจุบันตลอดจนวิธีวิเคราะห์เชิงสถิติเข้ามาช่วย
2. การทดสอบประสิทธิผลของยารักษาโรค
ผู้ผลิตยาจำเป็นต้องทำการทดสอบประสิทธิผลของยาโดยการนำยาไปทดลองใช้กับมนุษย์ แต่การทดสอบดังกล่าวไม่สามารถกระทำกับคนหมู่มากได้ เนื่องจากต้องมีการดูแลผู้ถูกทดลองเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้ผลการทดลองที่เกิดจากประสิทธิภาพของยาดังกล่าวเท่านั้น โดยไม่มีอิทธิพลของปัจจัยอื่น ๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น อิทธิพลจากตัวผู้ถูกทดลองเอง ได้แก่ อายุ น้ำหนัก ฯลฯ
การทดสอบประสิทธิผลของยารักษาโรคตามปกติเราจะกระทำโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลจากการทดลองซึ่งมีการวางแผนไว้อย่างชัดเจน เช่น เลือกคนไข้ที่มีลักษณะเหมือนกันเป็นคู่ ๆ เลือกคนหนึ่งคนในแต่ละคู่เข้ารับการรักษาด้วยตัวยานี้ อีกคนเหลือให้เข้ารับการรักษาโดยไม่ใช้ยาดังกล่าว ข้อมูลที่ได้จากการทดลองจะนำมาใช้ทดสอบผลของยารักษาโรคด้วยวิธีการทดสอบสมมติฐานเชิงสถิติเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างผลที่ได้จากการใช้และไม่ใช้ยาดังกล่าว
3. การควบคุมคุณภาพสินค้าที่ผลิต
ในการผลิตสินค้า สิ่งที่ผู้ผลิตให้ความสนใจมากคือการควบคุมคุณภาพสินค้าที่ผลิตให้มีมาตรฐานตามที่กำหนด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่มีการแข่งขันสูง การรักษามาตรฐานของสินค้ายิ่งทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบคุณภาพของสินค้าที่ผลิตทุกชิ้นก่อนส่งออกจำหน่วยนับเป็นภาระที่มากเกินกว่าที่จะกระทำได้ในการควบคุมคุณภาพสินค้าที่ผลิตให้เป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดโดยไม่ต้องทำการตรวจสอบคุณภาพของสินค้าทุกชิ้นเป็นสิ่งที่สามารถกระทำได้ เช่น ทำการทดสอบว่าหลอดไฟฟ้าแต่ละรุ่นมาตรฐานตามที่แจ้งไว้ด้วยการกำหนดวิธีการตามขั้นตอนของกระบวนการทางสถิติ กล่าวคือ ในขั้นตอนการเก็บข้อมูล สถิติศาสตร์จะกำหนดวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่เหมาะสมว่าควรเป็นการเลือกตัวอย่างโดยการสุ่มหลอดไฟฟ้าจำนวนหนึ่งจากจำนวนทั้งหมดที่ผลิตแต่ละรุ่น โดยสามารถกำหนดขนาดตัวอย่างที่จะเลือกและสามารถให้วิธีการวิเคราะห์ซึ่งสร้างเกณฑ์การพิจารณาว่า หากมีจำนวนที่ชำรุดในจำนวนตัวอย่างทั้งหมดที่เลือกมาจำนวนไม่เกินเท่าไรแล้วจะแสดงว่าหลอดไฟฟ้ารุ่นนั้นมีมาตรฐานตามที่กำหนด
4. การสำรวจความคิดเห็นหรือโพล (Poll)
การสำรวจความคิดเห็นเป็นสิ่งที่ทำเพื่อแสดงถึงความคิดเห็นของคนทั่วไปที่มีต่อเรื่องหนึ่ง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับบุคคลโดยทั่วไปในชุมชนหรือประเทศนั้น ๆ เช่น ความคิดเห็นเกี่ยวกับการดำเนินงานของรัฐบาล หรือต่อผู้บริหารประเทศ เป็นต้น เนื่องจากเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก แต่ต้องการทราบผลในเวลาอันรวดเร็วเพื่อให้เรื่องที่สนใจนั้นยังคงความทันสมัยอยู่ ปัญหาของการสำรวจความคิดเห็นจึงอยู่ที่จะทำอย่างไรจึงจะมีตัวแทนของคนกลุ่มนั้นที่เป็นตัวแทนที่ดีและสามารถให้ผลที่เชื่อถือได้โดยไม่ต้องใช้ตัวแทนจำนวนมาก และต้องมีความสามารถบอกได้ว่าผลการสำรวจมีความถูกต้องเชื่อถือได้มากน้อยเพยงไร และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ด้วยความมั่นใจเพียงไรด้วย
การสำรวจความคิดเห็นจึงเก็บข้อมูลเฉพาะจากตัวอย่างของกลุ่มคนเท่านั้นก็เป็นการเพียงพอ ซึ่งจะต้องใช้ความรู้ในวิชาสถิติที่เกี่ยวข้องกับวิธีเลือกตัวอย่างและการกำหนดขนาดตัวอย่างที่เหมาะสมกับระดับคุณภาพของผลลัพธ์ที่ต้องการ การจัดทำแบบสำรวจ รวมทั้งวิธีการประมาณค่า เช่น ค่าสัดส่วนประชากรที่เห็นด้วยกับเรื่องที่ต้องการทราบความคิดเห็น เป็นต้น
1.2 ความหมายของสถิติ
สถิติเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยการเก็บรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อหาข้อสรุปจากข้อมูลที่เกี่ยวข้องแล้วนำมาอธิปรายปรากฏการณ์หนึ่ง หรือตอบคำถามหรือประเด็นปัญหาที่สนใจ โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากการเกิดซ้ำ ๆ ของปรากฏการณ์นั้น ๆ การวิเคราะห์ข้อมูลนี้อาจแบ่งออกเป็นสองส่วน คือการวิเคราะห์ขั้นต้นที่มุ่งวิเคราะห์เพื่ออธิบายลักษณะกว้าง ๆ ของข้อมูลชุดนั้นซึ่งเรียกว่า สถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Statistics) กับการวิเคราะห์ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากตัวอย่างเพื่ออ้างอิงไปถึงข้อมูลทั้งหมดซึ่งเรียกว่า สถิติเชิงอนุมาน (Inferential Statistics)
สถิติในส่วนที่เรียกว่าสถิติเชิงพรรณนา จะว่าด้วยวิธการสรุปข้อมูลแต่ละชุดที่เราสนใจด้วยการวัดค่าวัดแนวโน้มสู่ส่วนกลาง (ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน ฐานนิยม) และค่าวัดการกระจาย (ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน พิสัย ฯลฯ) ตลอดจนการแจกแจงความถี่ของข้อมูล และการนำเสนอผลสรุปดังกล่าวด้วยตาราง หรือด้วยแผนภูมิ แผนภาพและกราฟ เช่น แผนภูมิรูปวงกลม แผนภูมิแท่ง แผนภาพการกระจาย และกราฟเส้นเพื่ออธิบายข้อมูลชุดนั้น
ในส่วนของสถิติเชิงอนุกรม เป็นศาสตร์ที่ให้วิธีการว่าในสถานการณ์หนึ่งจะเลือกตัวแทน (ตัวอย่าง) จากข้อมูลทั้งหมด (ประชากร) ได้อย่างไรจึงจะเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร หรือกำหนดแบบแผนการทดลองอย่างไรจึงจะสามารถทำการวิเคราะห์เพื่อตอบคำถามที่ต้องการได้
ในการรวบรวมข้อมูลที่มีข้อจำกัดในด้านเวลาและทรัพยากรอื่นที่มีในสถานการณ์ต่าง ๆ ทำให้ไม่สามารถที่จะจัดเก็บข้อมูลจากข้อมูลทั้งหมดได้ ข้อมูลที่สามารถนำมาวิเคราะห์จึงเป็นข้อมูลตัวอย่างซึ่งเป็นส่วนย่อยของประชากร เช่น ข้อมูลที่เกี่ยวกับความคิดเห็นของประชากรกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับนโยบายหนึ่งของกรุ
เทพมหานครหากต้องการข้อมูลทั้งหมด ย่อมหมายความว่า จะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลจากประชาชนทุกคนในกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะต้องใช้เวลา แรงงาน และค่าใช้จ่ายจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ต้องใช้อาจทำให้ผลที่ได้รับไม่ทันกับความต้องการ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเก็บข้อมูลเพียงบางส่วนที่เป็นตัวอย่างแล้วนำมาวิเคราะห์ข้อมูลในลักษณะสถิติเชิงอนุมานเพื่ออธิบายถึงสภาพของประชากรทั้งหมด
พิจารณาโดยรวมแล้วกล่าวได้ว่า สถิติศาสตร์ครอบคลุมเรื่องของข้อมูลและการเชื่อมโยงกับปัญหารวมทั้งการสร้างวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล อาจกล่าวได้ว่า สถิติศาสตร์ครอบคลุมองค์ประกอบดังต่อไปนี้
1. การเก็บรวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นส่วนที่มีความสำคัญมาก เมื่อได้ข้อมูลที่มีคุณภาพดีมาวิเคราะห์ ผลสรุปที่ได้รับจะมีคุณภาพดีไปด้วย วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลสามารถทำได้หลายวิธี เช่น การสอบถาม การสังเกต การทดลอง เป็นต้น
2. การวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการหาข้อรูปจากข้อมูลที่มีเพื่ออธิบายหรือตอบคำถามที่ต้องการ ทั้งนี้อาจเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นต้นซึ่งเป็นส่วนของสถิติเชิงพรรณนาที่ใช้อธิบายว่าข้อมูลชุดนั้นมีลักษณะอย่างไร กับการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงด้วยวิธีการวิเคราะห์เชิงอนุมาน โดยข้อมูลชุดที่นำมาทำการวิเคราะห์นั้นเป็นข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งซึ่งเรียกว่า ตัวอย่าง (sample) ที่เลือกมาจากข้อมูลทั้งหมดที่เรียกว่า ประชากร (population) โดยปกติจะต้องอาศัยความรู้จากทฤษฎีความน่าจะเป็นและสถิติขั้นสูง
เพื่อให้สามารถสร้างวิธีการวิเคราะห์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์ที่หลากหลายและให้ข้อสรุปที่เชื่อถือได้
3. การนำเสนอข้อสรุป การนำเสนอข้อสรุปในรูปแบบที่ผู้ใช้โดยทั่วไปสามารถเข้าใจได้ง่ายและชัดเจน หรือการเชื่อมโยงข้อสรุปที่ได้จากวิธีวิเคราะห์ไปตอบคำถามหรือปัญหาที่ตั้งไว้ นับเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากการสรุปผลในวิธีการวิเคราะห์โดยทั่วไปมักอยู่ในรูปแบบที่ระบุว่าผลการวิเคราะห์เป็นเช่นไร แต่ไม่อยู่ในรูปของคำตอบของคำถามที่ต้องการโดยตรง เพื่อให้ผู้ใช้ข้อสรุปมีความเข้าใจที่ถูกต้องจึงควรทำการสรุปผลในลักษณะที่เชื่อมโยงกับปัญหาที่มีอยู่ด้วย
1.3 สถิติกับการตัดสินใจและวางแผน
ในชีวิตประจำวันของแต่ละคน อาจกล่าวได้ว่าต้องมีการตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลา การตัดสินใจดังกล่าวอาจจะเป็นการตัดสินใจเพื่อตัวเอง เพื่อครอบครัว เพื่อญาติพี่น้องเพื่อนฝูง หรือเพื่อหน่วยงานที่รับผิดชอบ เช่น
- ตัดสินใจว่า วันนี้จะเดินทางไปโรงเรียนโดยใช้รถประจำทางสายใดดี
- ตัดสินใจว่า ควรจะซื้อประกันชีวิตแบบใดกับบริษัทใดจึงจะเหมาะสมที่สุด
- ตัดสินใจว่า ควรจะเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศยี่ห้อใดจึงจะประหยัดพลังงานไฟฟ้า
- ตัดสินใจว่า จะซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์ยี่ห้อใดมาใช้งานในบริษัทหรือโรงงาน
การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ แต่ละคนอาจมีวิธีตัดสินใจที่แตกต่างกันไป เช่น บางคนอาจตัดสินใจโดยใช้ประสบการณ์ของตนเองหรือผู้เกี่ยวข้อง ใช้ความเชื่อของตนเองหรือผู้ที่ตนเคารพนับถือ ใช้สามัญสำนึก หรือบางคนอาจตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหรือข่าวสารที่เกี่ยวข้อง
การตัดสินใจโดยใช้วิธีต่าง ๆ ข้างต้นนี้บางครั้งก็ตัดสินใจถูกแต่บางครั้งก็ตัดสินใจผิด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความเชื่อ สามัญสำนึก หรือข้อมูลข่าวสารที่แต่ละคนมีอยู่ว่าถูกต้องและเหมาะสมกับลักษณะของปัญหาที่ผู้นั้นต้องตัดสินใจมากเพียงใด แต่อย่างไรก็ตาม อาจจะกล่าวได้ว่าไม่ว่าจะใช้วิธีการใดมาช่วย ในการตัดสินใจก็จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลและข่าวสารไม่ทางตรงก็ทางอ้อมทั้งสิ้น ตัวอย่างเรื่องการตัดสินใจว่าจะขายสินค้าในราคาที่ลูกค้าต่อรองหรือไม่ อาจพิจารณาลักษณะการเป็นลูกค้าของผู้ซื้อว่าเป็นลูกค้าประจำหรือลูกค้าจร การตัดสินใจดังกล่าวข้างต้นหากผู้ตัดสินใจทราบหรือมีความรู้เกี่ยวกับข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องตัดสินใจมากเพียงใด โอกาสที่จะตัดสินใจผิดพลาดก็จะน้อยลงเพียงนั้น แต่การตัดสินใจบางเรื่อง การใช้ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องไม่สามารถนำมาใช้เพื่อช่วยในการตัดสินใจได้โดยตรง แต่จะต้องนำมาวิเคราะห์เสียก่อน ซึ่งอาจใช้วิธีวิเคราะห์เบื้องต้นง่าย ๆ เพื่อทราบลักษณะทั่ว ๆ ไปของข้อมูล เช่น การจำแนกข้อมูลตามลักษณะต่าง ๆ ที่สำคัญที่เรียกว่า การแจกแจงความถี่ การหาสัดส่วนหรือร้อยละ การหาค่าเฉลี่ยและค่าการกระจายของข้อมูล ที่เรียกว่า ค่ากลางและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานตามลำดับ หรืออาจใช้วิธีวิเคราะห์ขั้นสูง เช่น การประมาณค่าข้อมูล การทดลองสมมุติฐานหรือความเชื่อเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ การหาความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลและการพยากรณ์ข้อมูลในอนาคต ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงดังกล่าวค่อนข้างยุ่งยากและซับซ้อน
การตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ข้างต้นในบางเรื่องอาจจะไม่สามารถใช้ข้อมูลแต่เพียงอย่างเดียวได้ ต้องมีการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องเสียก่อน จึงจะนำมาใช้เพื่อการตัดสินใจได้ ข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์แล้วนี้ ไม่ว่าจะวิเคราะห์โดยใช้การวิเคราะห์เบื้องต้นหรือวิเคราะห์ขั้นสูงก็ตาม เรียกว่า สารสนเทศ หรือ ข่าวสาร (Information)
กล่าวโดยสรุปก็คือการตัดสินใจมีโอกาสผิดพลาดมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับข้อมูลและสารสนเทศซึ่งผู้ตัดสินใจมีอยู่เป็นสำคัญ ข้อมูลและสารสนเทศดังกล่าวนี้ สามารถหามาได้โดยใช้วิธีการทางสถิติซึ่งเป็นวิชาการหรือเทคนิคเกี่ยวกับการเก็บรวบรวมและการวิเคราะห์ข้อมูลนั่นเอง
ในการใช้สถิติเพื่อการตัดสินใจและวางแผนไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจและวางแผนในชีวิตประจำวันหรือในการประกอบอาชีพก็ตาม ผู้ตัดสินใจอาจจะต้องทราบว่ามีข้อมูลและ/หรือข่าวสารที่จำเป็นอะไรบ้างที่สามารถนำมาใช้ช่วยในการตัดสินใจได้หากต้องการใช้ข้อมูลใดก็จะต้องตรวจสอบเสียก่อนว่ามีใครหรือหน่วยงานใดเป็นผู้ผลิตหรือเก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวไว้หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องการ ในกรณีที่ตรวจสอบแล้วปรากฏว่ามีข้อมูลที่ต้องการก่อนจะนำมาใช้ก็ต้องตรวจสอบความครบถ้วน ความทันสมัยและความเชื่อถือได้ของข้อมูล
เสียก่อน หากข้อมูลขาดสมบัติดังกล่าว ผู้ตัดสินใจอาจจะต้องเก็บรวบรวมข้อมูลเอง การเก็บรวบรวมข้อมูลจากตัวอย่างจำนวนหนึ่งที่เลือกมาเป็นตัวแทนของผู้ให้ข้อมูลเท่านั้นเพื่อเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูล การที่จะได้ตัวอย่างมาเป็นตัวแทนที่ดีในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องการนี้ จะต้องใช้วิธีเลือกตัวอย่าง และจำนวนตัวอย่างที่เหมาะสมด้วย
สำหรับสารสนเทศที่จำเป็นต้องใช้ในการตัดสินใจและวางแผนนั้น ผู้ตัดสินใจจะต้องเลือกวิธีวิเคราะห์ข้อมูลที่เหมาะสมกับคำตอบที่ต้องการได้รับเสียก่อน ทั้งนี้เนื่องจากโดยทั่ว ๆ ไป วิธีที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลสำหรับวัตถุประสงค์เดียวกันมักมีหลายวิธี เช่น การหาค่ากลางหรือตัวแทนของข้อมูลอาจจะใช้ค่าเฉลี่ยเลขคณิต มัธยฐาน หรือ ฐานนิยมก็ได้ การหาค่ากลางแต่ละวิธีก็มีความเหมาะสมกับลักษณะของข้อมูลหรือวัตถุประสงค์ของผู้วิเคราะห์ ตัวอย่างเช่น การหาค่ากลางที่เป็นตัวแทนของรายได้ต่อเดือนของพนักงานในโรงงานอุตสาหกรรม หากรายได้ของพนักงานแต่ละคนใกล้เคียงกัน อาจใช้ ค่าเฉลี่ยเลขคณิตได้ แต่ถ้าพนักงานส่วนน้อยมีรายได้สูงมาก เมื่อเทียบกับพนักงานส่วนใหญ่ การหาค่ากลางที่เป็นตัวแทนของรายได้อาจจำเป็นต้องใช้ ค่ามัธยฐานแทน หรือในการพยากรณ์ยอดขายสินค้าของบริษัทในปีถัดไป ผู้พยากรณ์อาจต้องการทราบแต่เพียงว่าปีหน้าบริษัทควรจะขายสินค้าได้เท่าไร หรือต้องการทราบทั้งยอดขายสินค้าในปีหน้า และปัจจัยที่มีผลต่อยอดขายสินค้าดังกล่าวด้วย การพยากรณ์ตามวัตถุประสงค์แรกอาจใช้วิธีวิเคราะห์อนุกรมเวลา (Time series analysis) แต่การพยากรณ์ตามวัตถุประสงค์หลังอาจใช้วิธีวิเคราะห์ความถดถอย (Regression analysis) การวิเคราะห์โดยวิธีทั้งสองนี้จะใช้ข้อมูลที่แตกต่างกัน นั่นคือ วิธีวิเคราะห์ข้อมูลจะเป็นตัวกำหนดข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้
ดังนั้น โดยทั่ว ๆ ไปหากผู้วิเคราะห์ยังไม่ทราบว่าจะวิเคราะห์ข้อมูลโดยวิธีใดจะไม่สามารถกำหนดข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ได้ จึงอาจสรุปได้ว่าผู้วิเคราะห์ไม่ควรเริ่มต้นการใช้สถิติเพื่อการตัดสินใจและวางแผนโดยการเก็บรวบรวมข้อมูลก่อนแล้วค่อยมาหาวิธีวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำไปวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าว ทั้งนี้เพราะผู้วิเคราะห์อาจะไม่สามารถหาวิธีวิเคราะห์ใดที่เหมาะสมกับข้อมูลที่มีอยู่แล้วได้ เนื่องจากขาดสมบัติบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ในการวิเคราะห์ด้วยวิธีนั้น ๆ
1.4 ข้อมูลและการเก็บรวบรวมข้อมูล
1.4.1 ความหมายของข้อมูล
ข้อมูล เป็นข้อความจริงหรือสิ่งที่บ่งบอกถึงสภาพ สถานการณ์ หรือปรากฏการณ์ใดปรากฏการณ์หนึ่ง โดยที่ข้อมูลอาจเป็นตัวเลขหรือข้อความก็ได้ เช่น ในปี พ.ศ. 2547 คณะรัฐมนตรีกำหนดมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไข้หวัดนก หรือในเดือนกันยายน 2547 น้ำมันเบนซิน 91 จำหน่ายในเขตกรุงเทพและปริมณฑลราคาลิตรละ 20.99 บาท โดยทั่ว ๆ ไป ข้อมูลมักจะอยู่ในรูปตัวเลขซึ่งมีหลาย ๆ จำนวนที่สามารถนำมาเปรียบเทียบขนาดกันได้ เช่น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 กันยายน 2547 ไทยส่งออกข้าวไปยังประเทศหนึ่งรวม 2.88 ล้านตัน ลดลงจาก 5.00 ล้านตันของการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 42.4
ข้อมูลเชิงสถิติเป็นข้อมูลที่สามารถนำมาประมวลผลหรือวิเคราะห์ด้วยกระบวนการหรือวิธีการต่าง ๆ เพื่อตอบคำถามในประเด็นต่าง ๆ ได้
1.4.2 ประเภทของข้อมูล
ประเภทของข้อมูลสามารถจำแนกได้จากวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล และจากลักษณะของข้อมูล
การจำแนกข้อมูลตามวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
เมื่อจำแนกประเภทของข้อมูลตามวิธีการเก็บรวบรวมจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ ข้อมูลปฐมภูมิ (primary data) และ ข้อมูลทุติยภูมิ (secondary data)
1) ข้อมูลปฐมภูมิ คือข้อมูลที่ผู้ใช้จะต้องเก็บรวบรวมจากผู้ให้ข้อมูลหรหือแหล่งที่มาของข้อมูลโดยตรง ซึ่งอาจทำได้โดยการสัมภาษณ์ วัด นับ หรือสังเกตจากแหล่งข้อมูลโดยตรง เนื่องจากข้อมูลเหล่านี้ไม่เคยมีผู้ใดเก็บรวบรวมไว้ก่อน
การเก็บรวบรวมข้อมูลประเภทนี้ทำได้ 2 วิธี คือ การสำมะโน (census) และ การสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง (sample survey)
(1) การสำมะโน คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุก ๆ หน่วยของประชากรหรือสิ่งที่เราต้องการศึกษา ซึ่งการเก็บข้อมูลในลักษณะนี้ทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลมาก การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธนี้จึงไม่ค่อยนิยมใช้ในทางปฏิบัติ ยกเว้นกรณีที่ประชากรมีขนาดเล็กหรือมีขอบเขตไม่กว้างขวางนัก
(2) การสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง คือ การเก็บรวบรวมข้อมูลจากบางหน่วยที่เลือกมาเป็นตัวแทนจากทุก ๆ หน่วยของประชากรหรือสิ่งที่เราต้องการศึกษาเท่านั้น เนื่องจากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากทุกหน่วยของประชากร อาจทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายโดยไม่จำเป็น เพราะสิ่งที่ต้องการศึกษาอาจจะมีบางกลุ่มที่มีลักษณะที่ต้องการศึกษาอยู่เหมือน ๆ กัน หรือใกล้เคียงกันมาก การเลือกตัวอย่างหรือตัวแทนของแต่ละกลุ่มมาทำการศึกษาก็เป็นการเพียงพอที่จะทำให้สามารถประมาณค่าของสิ่งที่เราต้องการศึกษาทั้งหมดได้ เช่น การสำรวจราคาเฉลี่ยของสินค้าชนิดหนึ่งที่มีขนาดบรรจุใกล้เคียงกันจากร้านค้าปลีกทั่วประเทศ ราคามักจะใกล้เคียงกันด้วย ดังนั้นเราอาจเลือกร้านค้าปลีกเพียงบางร้านมาเป็นตัวแทนของร้านค้าปลีกทั้งหมดได้ แต่จำนวนร้านค้าปลีกที่เลือกมาเป็นตัวแทนจะมีจำนวนมากหรือน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้เก็บรวบรวมข้อมูลว่าต้องการให้ราคาเฉลี่ยของราคาสินค้าชนิดนั้นที่หาได้จากราคาสินค้าในร้านค้าตัวอย่างที่เลือกขึ้นมาเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลนี้ใกล้เคียงกับค่าที่ควรเป็นจริงซึ่งได้จากการเก็บรวบรวมข้อมูลจากร้านค้าปลีกทุก ๆ ร้านมากน้อยเพียงใด ถ้าต้องการให้ได้ผลใกล้เคียงกันมากก็ควรเลือกตัวอย่างร้านค้าปลีกมาเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นจำนวนมาก
2) ข้อมูลทุติยภูมิ คือ ข้อมูลที่ผู้ใช้ไม่ต้องเก็บรวบรวมจากผู้ให้ข้อมูลหรือแหล่งที่มาของข้อมูลโดยตรง แต่ได้จากข้อมูลที่มีผู้อื่นเก็บรวบรวมไว้แล้ว ข้อมูลประเภทนี้ ผู้ใช้ไม่ต้องเสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลเอง สามารถนำข้อมูลที่มีผู้อื่นเก็บรวบรวมไว้แล้วมาใช้ได้เลย แต่อย่างไรก็ตามผู้ใช้ระมัดระวังในการนำข้อมูลประเภทนี้มาใช้ให้มาก เนื่องจากมีโอกาสผิดพลาดได้มากหากผู้เก็บรวบรวมข้อมูลดังกล่าวใช้วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลที่ไม่เหมาะสม
แหล่งที่มาของข้อมูลทุติยภูมิที่สำคัญ คือ
(1) รายงานต่าง ๆ ของหน่วยงานราชการและองค์การของรัฐบาล โดยทั่ว ๆ ไปหน่วยงานราชการหรือองค์การของรัฐบาล มักจะมีรายงานแสดงข้อมูลพิมพ์ออกมาเผยแพร่เป็นประจำซึ่งอาจเป็นรายงานรายเดือน รายสามเดือน หรือรายปี ข้อมูลที่ได้จากรายงานต่าง ๆ ของหน่วยงานราชการและองค์การของรัฐบาลนี้อาจถือได้ว่าเป็นท่มาของข้อมูลมทุติยภูมิที่สำคัญที่สุด
(2) รายงานและบทความจากหนังสือหรือรายงานจากหน่วยงานเอกชน หน่วยงานของเอกชนบางแห่ง โดยเฉพาะหน่วยงานใหญ่ ๆ จะพิมพ์รายงานเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของตนออกเผยแพร่เช่นเดียวกับหน่วยงานของราชการ เช่น รายงานประจำเดือนของธนาคารพาณิชย์ นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์รายวัน หรือสื่ออื่น ๆมักจะมีข้อมูลทุติยภูมิประกอบบทความหรือรายงานด้วย
การจำแนกประเภทของข้อมูลตามลักษณะของข้อมูล
เมื่อจำแนกประเภทของข้อมูลตามลักษณะของข้อมูลจะจำแนกเป็น 2 ลักษณะใหญ่ ๆ คือ ข้อมูลเชิงปริมาณ (quantitative data) และ ข้อมูลเชิงคุณภาพ (qualitative data)
1) ข้อมูลเชิงปริมาณ คือ ข้อมูลที่ใช้แทนขนาดหรือปริมาณซึ่งวัดออกมาเป็นจำนวนที่สามารถนำมาใช้เปรียบเทียบกันได้โดยตรง เช่น ปริมาณการผลิตน้ำมันดิบของกลุ่มโอเปกในแต่ละปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารพาณิชย์ จำนวนสมาชิกโดยเฉลี่ยของครอบครัวไทย
2) ข้อมูลเชิงคุณภาพ คือ ข้อมูลที่ไม่สามารถวัดออกมาเป็นจำนวนได้โดยตรงแต่อธิบายลักษณะหรือคุณสมบัติในเชิงคุณภาพได้ เช่น เพศของสมาชิกในครอบครัว สถานภาพสมรสของพนักงานในบริษัทห้างร้านหรือความคิดเห็นของประชาชน การวิเคราะห์ข้อมูลประเภทนี้ส่วนใหญ่ทำโดยการนับจำนวนจำแนกตามลักษณะเชิงคุณภาพ เช่น นับจำนวนพนักงานที่เป็นโสด ที่สมรสแล้ว ที่หย่าร้าง และที่เป็นหม้ายว่ามีอย่างละกี่คน ข้อมูลเชิงคุณภาพบางลักษณะสามารถวัดออกมาเป็นลำดับที่หรือตำแหน่งที่ได้ เช่น ความชอบ วัดในรูป ชอบมากที่สุด ชอบมาก ชอบปานกลาง ชอบน้อย ไม่ชอบเลย ความคิดเห็น วัดในรูปเห็นด้วยอย่างยิ่ง เห็นด้วย ไม่มีความเห็น ไม่เห็นด้วย ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง ประสิทธิภาพในการดำเนินงาน วัดในรูป ดีขึ้นมาก ดีขึ้น คงเดิม เลวลง เลว เลวมาก หรือวัดในรูป สูง ปานกลาง ต่ำ เป็นต้น การกำหนดลำดับที่หรือตำแหน่งที่ของข้อมูลเชิงคุณภาพนี้ เมื่อนำข้อมูลไปวิเคราะห์จะต้องแทนลำดับที่หรือตำแหน่งที่เหล่านี้ด้วยตัวเลข เช่น ให้ตัวเลขที่มีค่ามากใช้แทนลักษณะหรือความรู้สึกที่ดี
- ชอบมากที่สุด หรือ เห็นด้วยอย่างยิ่ง แทนด้วย 4
- ชอบมาก หรือ เห็นด้วย แทนด้วย 3
- ชอบปานกลาง หรือ ไม่มีความเห็น แทนด้วย 2
- ชอบน้อย หรือ ไม่เห็นด้วย แทนด้วย 1
- ไม่ชอบเลย หรือ ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แทนด้วย 0
ในกรณีที่ข้อมูลเชิงคุณภาพใดไม่สามารถวัดออกมาเป็นลำดับที่หรือตำแหน่งที่ได้ เช่น กลุ่มนักเรียนของโรงเรียนรัฐบาลกับกลุ่มนักเรียนของโรงเรียนเอกชน หรือกลุ่มพนักงานชายกับกลุ่มพนักงานหญิง หากมีความจำเป็นต้องกำหนดเป็นจำนวนเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ด้วยวิธีการทางสถิติอาจใช้ 0 แทนกลุ่มนักเรียนของโรงเรียนรัฐบาล หรือ กลุ่มพนักงานชาย และใช้ 1 แทนกลุ่มนักเรียนโรงเรียนเอกชน หรือ กลุ่มพนักงานหญิง จำนวนที่ใช้แทนข้อมูลเชิงคุณภาพเหล่านี้ไม่สามารถนำไปตีความหมายในเชิงปริมาณได้ ความหมายของจำนวนที่ใช้แทนข้อมูลเหล่านี้เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ใช้แทน “กลุ่ม” ต่าง ๆ เท่านั้น
1.4.3 วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล
1) วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลทุติยภูมิ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะอยู่ในหนังสือ รายงานบทความหรือเอกสารต่าง ๆ ควรดำเนินการดังต่อไปนี้
(1) พิจารณาตัวบุคคลผู้เขียนรายงาน บทความ หรือเอกสารเหล่านั้นเสียก่อนว่าเป็นผู้มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในเรื่องที่เขียนถึงขั้นพอที่จะเชื่อถือได้หรือไม่ การเขียนอาศัยเหตุผลและหลักวิชาการมากน้อยเพียงใด ข้อมูลที่จะนำมาใช้ซึ่งรวบรวมจากรายงาน บทความ หรือเอกสารดังกล่าวควรใช้ข้อมูลที่ผู้เขียนเก็บรวบรวมมาเองโดยตรง เช่น ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจหรือสำมะโน หากไม่มีความจำเป็นไม่ควรใช้ข้อมูลที่ผู้เขียนนำมาจากแหล่งข้อมูลอื่น เนื่องจากอาจมีการคลาดเคลื่อนจากข้อมูลที่ควรจะเป็นจริงได้มาก
(2) ถ้าข้อมูลที่ต้องการเก็บรวบรวมสามารถหาได้จากหลาย ๆ แหล่ง ควรเก็บรวบรวมมาจากหลาย ๆ แหล่งเพื่อใช้ในการเปรียบเทียบว่าข้อมูลที่ต้องการมีความผิดพลาดเนื่องจากการลอกผิด พิมพ์ผิด หรือเข้าใจผิดบ้างหรือไม่ นอกจากนี้ผู้เก็บรวบรวมข้อมูลควรจะใช้ความรู้ความชำนาญของตนเองเกี่ยวกับข้อมูลเรื่องนั้น ๆ มาพิจารณาว่าข้อมูลที่จะนำมาใช้นั้นน่าจะเป็นไปได้หรือไม่ เช่น จำนวนประชากรของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2546 ที่นำเสนออยู่ในรายงานฉบับหนึ่งเป็น 36 ล้านคน จำนวนดังกล่าวน่าจะเป็นไปไม่ได้ ที่ถูกต้องควรจะเป็น 63 ล้านคน ความผิดพลาดดังกล่าว อาจเนื่องมาจากการคัดลอกของผู้นำเสนอหรือการพิมพ์ก็ได้ กล่าวคือคัดลอกหรือพิมพ์เลขโดดกลับกัน
(3) พิจารณาจากลักษณะของข้อมูลที่ต้องการเก็บรวบรวมว่าเป็นข้อมูลที่เป็นข้อความจริง ข้อมูลที่ได้จากทะเบียน ข้อมูลที่เป็นความคิดเห็นหรือเจตคติ ข้อมูลประเภทความลับ หรือข้อมูลซึ่งผู้ตอบอาจต้องเสียประโยชน์จากการตอบ ถ้าเป็นข้อมูลที่เป็นข้อความจริง ข้อมูลที่ได้จากทะเบียนหรือข้อมูลที่เป็นความคิดเห็นหรือเจตคติส่วนใหญ่มักจะมีความถูกต้องเชื่อถือได้สูง แต่ถ้าเป็นข้อมูลประเภทความลับหรือข้อมูลซึ่งผู้ตอบอาจต้องเสียประโยชน์จากการตอบ ส่วนใหญ่มักจะมีความถูกต้องเชื่อถือได้น้อย
(4) ถ้าข้อมูลที่จะเก็บรวบรวมได้มากจากการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง หรือต้องผ่านขั้นตอนการวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติมาก่อน ควรจะต้องตรวจสอบวิธีการที่ใช้ในการเลือกกลุ่มตัวอย่าง ขนาดกลุ่มตัวอย่าง และวิธีการวิเคราะห์ว่าเหมาะสมที่จะใช้หรือไม่
2) วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิ การเก็บรวบรวมข้อมูลปฐมภูมิซึ่งอาจทำได้โดยการสำมะโนหรือสำรวจสามารถทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่นิยมใช้กันทั่ว ๆ ไปมี 5 วิธีคือ
(1) การสัมภาษณ์ การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ นิยมใช้กันมากกว่าการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีอื่น ๆ เนื่องจากโอกาสที่จะได้คำตอบกลับคืนมามีมาก นอกจากนี้หากผู้ตอบข้อถามไม่เข้าใจข้อถามใด ๆ ก็สามารถสอบถามได้จากผู้สัมภาษณ์โดยตรง แต่การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธีนี้ ผู้สัมภาษณ์ต้องมีความซื่อสัตย์ไม่ตอบข้อถามแทนผู้ถูกสัมภาษณ์ เพราะจะทำให้ข้อมูลที่รวบรวมได้มีความคลาดเคลื่อนจากที่ควรจะเป็นจริงมาก
(2) การสอบถามทางไปรษณีย์ การเก็บรวบรวมโดยวิธีนี้สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมได้มาก และค่อนข้างแน่ใจได้ว่าผู้ตอบแบบสอบถามทุกคนได้รับแบบสอบถาม ยกเว้นคนที่มีการย้ายที่อยู่เท่านั้น นอกจากนั้นผู้ตอบแบบสอบถามจะได้รับความสะดวกในการตอบข้อถาม กล่าวคือจะตอบข้อถามเมื่อไรก็ได้ภายในระยะเวลาที่ผู้สำรวจได้กำหนดไว้ คำตอบที่ผู้สำรวจได้รับจะมีความถูกต้องและเชื่อถือได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำตอบที่จะทำให้ผู้ตอบแบบสอบถามอาจเสียประโยชน์จากการตอบข้อถามนั้น ๆ เนื่องจากผู้ตอบแบบสอบถามไม่จำเป็นต้องระบุชื่อของตนเองในแบบสอบถามก็ได้ แต่อาจมีจุดอ่อนถ้าผู้ตอบแบบสอบถามไม่เข้าใจปัญหาที่ถามอาจทำให้คำตอบผิดพลาดได้ อีกประการหนึ่งผู้ถูกถามอาจไม่ได้เป็นผู้ตอบข้อถามเองแต่ไปให้ผู้อื่นตอบแทน ข้อมูลที่รวบรวมได้ก็อาจผิดพลาดได้เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ผู้สำรวจยังไม่สามารถประมาณจำนวนแบบสอบถามที่จะได้รับกลับคืนมาว่าจะมีจำนวนมากน้อยเพียงใด ซึ่งบางครั้งผู้สำรวจได้แบบสอบถามกลับคืนมาไม่เพียงพอที่จะทำการสรุปผลทั้งหมดให้มีความเชื่อถือได้
(3) การสอบถามทางโทรศัพท์ การสอบถามวิธีนี้นิยมใช้น้อยกว่าวิธีอื่นถึงแม้ว่าการเลือกตัวอย่างผู้ตอบสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ทำได้ง่ายและเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรวบรวมข้อมูลน้อยก็ตาม ทั้งนี้เนื่องจากการเก็บรวบรวมข้อมูลทำได้เฉพาะผู้ตอบสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เท่านั้น
การสอบถามทางโทรศัพท์โดยทั่ว ๆ ไป มักใช้กับแบบสอบถามที่ไม่ใช้เวลาในการสัมภาษณ์มากนักและข้อมูลที่ต้องการถามจากผู้ตอบสัมภาษณ์เป็นข้อมูลที่ผู้ตอบสัมภาษณ์สามารถตอบได้ทันทีโดยไม่ต้องไปค้นหาหลักฐานหรือสอบถามจากผู้อื่น การสอบถามทางโทรศัพท์ที่ใช้กันอยู่เสมอ ๆ เช่น การสำรวจความคิดเห็นเก่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังได้รับความสนใจ
(4) การสังเกต การเก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสังเกตมักใช้ประกอบกับการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยวิธอื่น ๆ ในกรณีที่ผู้สำรวจไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้โดยวิธีนั้น ๆ เชื่อถือได้ ซึ่งอาจจะมีสาเหตุมาจากความไม่ร่วมมือของผู้ใช้ข้อมูลหรืออาจจะเกิดจากความรู้ขั้นพื้นฐานหรือความรู้เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ของผู้ตอบไม่ดีพอ เช่น การสอบถามเกี่ยวกับรายได้ของครอบครัวหรือกำไรของบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ข้อมูลดังกล่าวนี้ผู้ตอบไม่ต้องการเปิดเผย นอกจากนี้อาจใช้การสังเกตเมื่อต้องการรวบรวมข้อมูลในเชิงลึก เช่น ครูสังเกตพฤติกรรมของนักเรียนในการทำงานร่วมกัน และการมีทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์
(5) การทดลอง การเก็บรวบรวมข้อมูลจากการทดลอง เป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลที่ต้องมีการทดลองหรือปฏิบัติเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ต้องการ ส่วนใหญ่จะเป็นการเก็บรวบรวมข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เช่น การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของยาแก้ปวดหลาย ๆ ชนิด ข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้จากการทดลองนี้ จะมีความถูกต้องและเชื่อถือได้มาก ถ้าไม่เกิดความคลาดเคลื่อนจากการวัดหรือการวางแผนการทดลอง
1.4.4 ปัญหาในการใช้ข้อมูล
ปัญหาในการใช้ข้อมูลทุติยภูมิ การใช้ข้อมูลทุติยภูมิมักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1) ความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูล
2) ความทันสมัยของข้อมูล
3) การขาดหายไปของข้อมูลบางรายการ
ปัญหาในการใช้ข้อมูลปฐมภูมิ มักจะมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
1) ไม่ทราบว่าจะใช้วิธีเลือกตัวอย่างหรือวิธีการวางแผนการทดลองแบบใดจึงจะเหมาะสม
2) ไม่ทราบว่าจะประเมินความถูกต้องเชื่อถือได้ของข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้อย่างไร
3) ไม่ทราบว่าจะวิเคราะห์ข้อมูลอย่างไรในกรณีข้อมูลที่เก็บรวบรวมได้ไม่ครบถ้วนหรือขาดหายไปมากเนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมือจากผู้ให้ข้อมูล
ที่มา: แบบเรียนคณิตศาสตร์พื้นฐาน ม.5 เล่ม 3 สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สุดยอดครับสาระดีมาก
กระจอก
???