คำขวัญอำเภอสำโรงทาบ จังหวัดสุรินทร์
“สำโรงทาบเขตราบลุ่ม ชุ่มชื่นธรรมชาติ เด่นผงาดไก่สามสายพันธุ์ อัศจรรย์เกษตรอินทรีย์ ข้าวหอมมะลิพันธุ์ดี มากมีหญิงงาม ลือนามอ่างเกาะแก้ว เพริศแพร้วริมห้วยกะเลา”
วันนี้ บังเอิญไปทานข้าวกลางวันที่ห้วยทับทัน ขากลับมองจากห้วยทับทันเห็นกลุ่มควันหนาลอยขึ้นในอากาศ คุยกับเพื่อนร่วมทางว่า “เผานากันอีกแล้ว” ซึ่งก็เป็นเหตุการณ์ปกติของแถบนี้ในช่วงนี้ ไปจนถึงเดือนเมษายน เพื่อเตรียมการทำนาในฤดูกาลทำนาต่อไป
หลังจากเผาแล้ว ก็จะไถ รอฝน เมื่อฝนตกก็จะไถอีก แล้วหว่าน แล้วก็บำรุง รอจนข้าวออกรวง สุก แล้วก็เกี่ยว…วนเวียนอย่างนี้เป็นวัฏจักรเรื่อยมา
ช่วงนี้ก็เริ่มเผานากันแล้ว
การเผานา
กลุ่มควันบนทางหลวงสาย ๒๒๖ ระยะทางเกือบ ๑ กิโลเมตร
เปลวไฟที่เผาไหม้เศษต้นข้าวในนา
คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเผานาคงไม่รู้สึกอะไร แต่บังเอิญวันนี้ลมแรง บ้านของชาวบ้านบริเวณโค้งหมื่นศรีหนังหนึ่ง ต้องอกสั่นขวัญแขวน
เพราะว่าไฟที่เขาเผามาลามกินบริเวณกว้างมาก
แล้วในที่สุด มันก็ลามไปถึงเขตบ้านของเขา
ไฟลามถึงแนวหลังบ้านแล้ว
ไฟลุกท่วม ลมรุนแรง
ไฟลามมาถึงหลังบ้านแล้ว
ลมพัด ควันคลุ้ง วัวที่ถูกผูกไว้ไม่สามารถหนีไปไหนได้ต้องตายแน่ถ้าไฟลามมาถึง
บ้านผู้ประสบเหตุในกลุ่มควัน
ผม ลงรถไปเพื่อถ่ายภาพ เห็นเขากำลังวิ่งสาละวนช่วยกันเอาน้ำดับ เอาไม้ตีไฟ อยากลงไปช่วย แต่ว่ารถยนต์ตัวเองก็จอดอยู่ไม่ไกลจากแนวไฟเท่าไร จึงรีบถ่ายแล้วมาขับรถออกไปในที่ปลอดภัย
นาบางแห่งมีการปลูกผัก ปลูกพืชไว้ขายในช่วงหน้าแล้ง เจ้าของที่ต้องช่วยกันดับไฟกันจ้าละหวั่น เกรงว่าไฟจะลามไปถึงแปลงผักที่ตัวเองปลูกไว้
ไม่ได้ทำความเดือดร้อนให้คนอื่น แต่ความเดือดร้อนก็ยัง “ไหม้” มาถึงที่ของตัวเอง น่าเห็นใจมากครับ
“ช่วยกันเร็วเข้า ก่อนที่ผักที่ปลูกไว้จะโดนไฟเผาเสียหาย”
“ทั้งร้อนทั้งแสบตาจะทนไม่ไหวแล้วนะพ่อ…”
ไม่ รู้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เขาไปแก้ไขหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ บ้านในเขตเพลิงไหม้นาหลังนั้น ไม่มีใครช่วย เขาต่างช่วยต้วเอง ป้องกันบ้านของตนเองไม่ให้โดนเพลิงไหม้ครั้งนี้ทำลาย
ผมขับรถผ่าน เห็นรถน้ำของหน่วยงานหนึ่งปล่อยน้ำทิ้ง (???) นอกเขตเพลิงไหม้ ปล่อยทิ้งทำไม ทำไมไม่เอาไปช่วยเขาดับไฟ
ผม ได้คุยกับหลายๆ คน ถามว่า “ทำไมต้องเผานา???” คนที่เคยทำนำจะบอกว่า “เพราะว่ามันช่วยให้ไถง่าย ถ้าไม่เผาตอซังข้าวมันเยอะ ไถยาก แล้วถ้ามันย่อยสลายไม่หมด ก็ทำให้ข้าวไม่ได้ผลดี”
เหตุผลก็ฟังดีครับ
แต่ การเผา มันทำลายอินทรีย์วัตถุในดิน ทำให้ต้องใช้ปุ้ยและสารเคมีเพิ่ม เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อม ผู้บริโภคต้องรับสารเคมีในปริมาณมากขึ้นทุกปี
ที่สำคัญ เป็นการทำลายที่นาของตัวเองด้วย
และตอนเผา ก็เกิดมลภาวะ ผู้ที่อาศัยอยู่ในเขตนาต้องทนกับควัน และเศษฝุ่นจากการเผาไหม้ด้วย
และจากภาพก็จะเห็นว่า บ้านเรือนของคนที่อยู่ติดนา ก็ (เกือบจะ) เดือดร้อนไปด้วย
คำขวัญอำเภอก็เขียนไว้อย่างสวยหรู เหมือนจะยาวที่สุดในจังหวัด โดยเฉพาะวรรคที่บอกว่า “อัศจรรย์เกษตรอินทรีย์”
มันเกษตรอินทรีย์จริงหรือครับ???
วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย ช่วยดูแลด้วยครับ
วอนชาวนาที่ทำนา ร่วมมือกันเถอะครับ
ก่อนที่แผ่นดินของเราจะไม่สามารถทำเกษตรได้
(ต้นฉบับบทความเขียนโดยเจ้าของบล็อกเอง จาก บล็อกแก๊ง (BlogGang.com) ซึ่งตามไปอ่านเรื่องอื่นๆ ได้นะครับ)